ม่านกันเสียง เครื่องจักร ต่างจากม่านในบ้านอย่างไร
หลายท่านที่ได้ยินหรือนึกถึงคำว่า “ม่านกันเสียง” ก็อาจจะมีจินตนาการถึงลวดลายอันสวยงามของผ้าม่าน แบบที่ใช้กันอยู่ในอาคารหรือตามบ้านพักอาศัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ม่านกันเสียงที่ออกแบบมาสำหรับลดเสียงดังจากเครื่องจักรในโรงงานนั้น จะแตกต่างจากม่านที่ใช้ในอาคารบ้านเรือน อย่างน้อยสามประการคือ
1) ความหนา – ม่านกันเสียงเครื่องจักรจะมีความหนาเริ่มต้นที่ประมาณ 10 ม.ม. ไปจนถึง 50 ม.ม. (1-5 ซ.ม.)
2) วัสดุที่ใช้ทำผ้าม่าน – ผ้าที่ใช้ทำม่านกันเสียงเครื่องจักรจะเป็นผ้าที่ไม่ลุกติดไฟและไม่ลามไฟ บางประเภทต้องทนสารเคมีและกันน้ำได้ด้วย
3) น้ำหนักของผ้าม่าน – ม่านกันเสียงเครื่องจักรแบบบางที่สุด จะมีน้ำหนักประมาณ 5-7 ก.ก./ตร.ม. (เฉพาะตัวม่าน ไม่รวมน้ำหนักโครงสร้าง)
ม่านกันเสียงเครื่องจักรนำมาใช้กันเสียงในบ้านได้หรือไม่
แม้ว่าม่านกันเสียงเครื่องจักรจะสามารถกันเสียงหรือลดเสียงรบกวนได้ดีกว่าม่านในบ้านแบบทั่วไป แต่ก็ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กันเสียงหรือแก้ปัญหาเสียงก้อง เสียงสะท้อน ภายในบ้านหรืออาคารสำนักงาน เนื่องจากน้ำหนักและความหนาของม่านแบบนี้ ได้ถูกออกแบบและผลิตมาเพื่อใช้กับสภาวะแวดล้อมในโรงงาน ซึ่งต้องทนต่อการขีดข่วนจากของมีคม ทนต่อการกระแทก และทนต่อความร้อนหรือสารเคมี ส่งผลให้รูปลักษณ์และรูปทรงของม่านกันเสียงเครื่องจักรดูแข็งแรง แน่นหนา ไม่มีความพริ้วไหวหรือลวดลายที่สวยงามตามรสนิยมเจ้าของบ้าน หรือสรุปได้สั้นๆว่า สามารถนำม่านกันเสียงเครื่องจักรมาใช้เป็นม่านในบ้านได้ แต่ไม่เหมาะสมในด้านของความสวยงามและความสะดวกในการใช้งาน
ม่านกันเสียงเครื่องจักร ลดเสียงดังได้กี่เดซิเบล
ระดับความดังเสียงที่ลดลงเมื่อติดตั้งม่านกันเสียงเครื่องจักรเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ประมาณ 5-12 dBA ขึ้นอยู่กับพลังงานเสียง ความถี่เสียง ขนาดห้องหรือที่ตั้งเครื่องจักร ลักษณะของเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียง (เสียงต่อเนื่องหรือเสียงกระแทก) แนวและความสูงของม่านกันเสียง รวมไปถึงความหนาของม่านที่เลือกใช้ เหล่านี้เป็นต้น ที่สำคัญคือม่านกันเสียงเครื่องจักรนั้น ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อลดเสียงหรือกั้นเสียงจากเครื่องจักรประเภทนั้นๆ (ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะเครื่องจักรนั้น) เพราะฉะนั้นระดับเสียงที่ลดลงของเครื่องจักรอื่นที่ไม่ได้ออกแบบมาโดยเฉพาะให้ใช้กับม่านกันเสียงนี้ อาจจะมีค่าการลดลงของเสียงไม่เท่ากับตัวเครื่องจักรที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะนั่นเอง (อาจลดได้น้อยกว่าหรือมากกว่า)
ระหว่าง ม่านกันเสียง กับ ผนังกันเสียง จะเลือกแบบไหนดี
ทั้งม่านกันเสียงและผนังกันเสียงเป็นการแก้ปัญหาหรือลดระดับความดังเสียงที่ทางผ่านของเสียง (path) เหมือนกัน ต่างกันตรงที่ม่านกันเสียงจะเหมาะสมกับการติดตั้งรอบเครื่องจักรหรือแหล่งกำเนิดเสียงนั้นโดยตรง ทำให้ประหยัดพื้นที่หรือค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการทำผนังกันเสียง ที่บางครั้งอาจจะต้องทำทั้งแนวยาวหลายสิบเมตรและต้องมีความสูงขึ้นไปด้านบนอีกหลายเมตร อีกประการคือม่านกันเสียงสามารถถอดเคลื่อนย้ายตามเครื่องจักรไปได้ ในกรณีที่มีการย้ายตำแหน่งเครื่องจักร ทำให้คุ้มค่ากว่าเพราะลงทุนครั้งเดียวแต่ใช้ได้ยาวนาน อีกปัจจัยหนึ่งที่ใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจเลือกระหว่างม่านกันเสียงและผนังกันเสียง คือ สภาพแวดล้อมการใช้งาน เช่น หากต้องติดตั้งนอกอาคารที่โดนทั้งแดด ฝน และฝุ่นเป็นปริมาณมาก (กรณีของโรงงานผลิตปูนขาว หรือลักษณะที่ใกล้เคียง) ผนังกันเสียงก็จะมีความเหมาะสมกว่าม่านกันเสียงนั่นเอง
อยากทราบข้อดีและข้อด้อยของม่านกันเสียงเครื่องจักร
ข้อดีของม่านกันเสียงเครื่องจักร
• ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าทำผนังกันเสียง เพราะติดตั้งรอบเครื่องจักรได้เลย
• ลดเสียงดังได้ประมาณ 5-12 dBA หรือมากกว่า กรณีที่พลังงานเสียงน้อย
• ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเสียงจากเครื่องจักรนั้นโดยเฉพาะ ทำให้การลดเสียงได้ผลสูงสุด
• ไม่เกะกะหรือเป็นอุปสรรคกับยานพาหนะในโรงงาน เพราะสามารถเปิดและปิดได้
• อายุการใช้งานนานหลายปี เพราะถูกออกแบบและผลิตให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมนั้น
• รื้อถอน เคลื่อนย้าย ตามเครื่องจักรนั้นๆไปได้ ในกรณีที่มีการย้ายตำแหน่งเครื่องจักร
• มีให้เลือกทั้งแบบม่านกันเสียงที่ใช้ภายในอาคาร และภายนอกอาคาร (กันน้ำและยูวี)
ข้อด้อยของม่านกันเสียงเครื่องจักร
• ไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมหรือเงื่อนไขการทำงาน ที่ต้องมีการเปิดปิดม่านหลายครั้งต่อวัน เพราะตัวม่านมีน้ำหนักมาก
• อาจเกิดการฉีกขาดเสียหายได้ ในกรณีที่อยู่ใกล้กับทางสัญจรของรถโฟล์คลิฟท์ หรือวัตถุดิบที่มีลักษณะแหลมคม
• การเปิดปิดม่านเพื่อเข้าถึงเครื่องจักรเมื่อถึงเวลาซ่อมบำรุง ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนไม่มีม่าน
ฉนวนกันเสียง ม่านกันเสียง เครื่องจักร อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://noisecontrol365.com/