motor show: ALL NEW MG3 HYBRID+ พลังไฮบริดแรงจริงและประหยัด 20++ กม./ลิตร ถังเดียวไปเชียงใหม่ยังเหลือ!ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์พลังไฮบริดที่ดี่อีกรุ่นหนึ่งของ MG และไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ขนาดนี้ !.....กล้าบอกเลยครับว่าเป็นรถ Hatchback 5 ประตูระดับ B-Segment ที่ให้ทั้งความทันสมัย ความแรงสั่งได้และให้ความประหยัด 20++ กม./ลิตร! พร้อมความปลอดภัย ADAS ในคันเดียว คาดการณ์ว่าราคาเริ่มต้น 6XX,XXX บาท
โดยในวันที่รีวิวนั้นยังไม่เปิดตัวและราคาอย่างเป็นทางการครับ
ทริปนี้เป็นการนั่งเครื่องฯ ไปเชียงใหม่และขับจากเชียงใหม่ลงกรุงเทพฯ โดยรถยนต์ MG3 Hybrid+ ทั้งหมด 9 คัน รถสำหรับสื่อมวลชน 7 คัน และรถทดลองอัตราสิ้นเปลืองและการใช้น้ำมัน 1 ถัง วิ่งได้แค่ไหนอีก 2 คัน และทดสอบความประหยัดจากหลาย ๆ สื่อฯ ด้วยการรขับตามสไตล์แต่ละบุคคล และการตั้งใจขับให้ประหยัดโดยทีมงาน MG เอง ว่าจะสามารถทำความประหยัดได้จริงถึง 20 กม./ลิตร และใช้น้ำมันถังเดียวจากเชียงใหม่กลับกทม.ได้จริงหรือไม่?
Hybrid+ (Plus) มันทำงานยังไงก่อน?
เอาล่ะขอเล่าถึงรายละเอียดระบบ ระบบ HYBRID+ ใหม่ล่าสุดใน MG3 คันนี้ที่ดีกว่าใน MG VS HEV แบบหนังคนละม้วน!!!!
สมรรถนะของระบบ HYBRID+ ที่มีการบริหารพลังงานในแบบรถยนต์ไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 250 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ผสานเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร พัฒนาขึ้นใหม่ ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 กำลังรวมสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง พร้อมเกียร์ 3 ระดับ ที่ทำงานในแต่ละเงื่อนไข เช่น EV ล้วนใช้เกียร์ 1. ไฮบริดทำงานในความเร็วกลาง ๆ เกียร์ 2 และความเร็วสูง ๆ เครื่องยนต์ล้วน ๆ เกียร์ 3 เพื่อให้รอบเครื่องต่ำประหยัดน้ำมัน เป็น (ตำแหน่งเกียร์อาจไม่ได้เรียงลำดับตามนี้) และสามารถขับเคลื่อนระบบไฮบริดได้ในหลายรูปแบบ ได้แก่
ขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid)
ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid)
การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว
สำหรัลบการทำงานของระบบไฮบริดพลัสทั้ง 8 โหมด เป็นการปรับเปลี่ยน คำนวนและเรียนรู้ในการผสานพลังงานระหว่างเครื่องยนต์+มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน+เจนเนอเรเตอร์+โหมด EV ไฟฟ้าล้วน และการรีเจนฯ ไฟกลับ ที่จะสลับหรือแบ่งการทำงานแบบละเอียดยิบ
1.โหมดจอดหยุดนิ่ง
ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน
2.โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0 – 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ
3.โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น
เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30 – 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น
4.โหมดความเร็ววิ่งในเมือง
แต่หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50 – 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง
5.โหมดความเร็ววิ่งคงที่
เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา
6.โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที เมื่อต้องการเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุดและตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป
7.โหมดความเร็วสูง
และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงาน อย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่
8.โหมดลดความเร็ว Regenerative
เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด
ด้วยทั้งหมดนี้ จึงสามารถทำความแรงได้และยังให้ความประหยัดไปพร้อม ๆ กัน และถือว่าการทำงานระบบไฮบริดใน MG 3 ใหม่นี้คล้าย ๆ กับในรถยนต์ญี่ปุ่นค่ายดัง
ภายนอก
ภายนอกกันชนหน้าดีไซน์เส้นสายและมีความเหลี่ยมคมในแบบฉบับของ MG เต็มคราบ ไฟหน้า LED Projector เมื่อมองบางมุมอาจจะคล้ายอีโค่คาร์เจ้าตลาดจนแทบแยกไม่ออกเหมือนกัน ถ้าไม่สังเกตไฟหน้าอาจจะสับสนได้ ส่วนกระจกบานหน้าติดตั้งกล้องระบบ "ADAS" (เฉพาะรุ่นท็อป)
กระจกมองข้างทรงสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยว LED ติดตั้งกล้องมองด้านข้าง ส่วนท้ายแบบแฮชต์แบ็กที่มีกลิ่นไอรถยุโรปและญี่ปุ่นบ้างรุ่นปนกันไป แต่ส่วนตัวกลับชอบดีไซน์ท้ายกว่ากว่าด้านหน้า เพราะให้ความรู้สึกกลมกลืนกับรูปทรงตัวรถโดยรวม หากกันชนหน้าปรับลบมุมให้กลมกลมกลื่นรับกับฝากระโปรงและไฟหน้าได้จะยิ่งดูลงตัวมากขึ้นไปอีก ส่วนล้ออัลลอยใช้ขนาด 16 นิ้ว ยาง 195/55R16 ของ "LANCASTER"
ภายในและความสะดวกสบาย
ภายในนับว่าสวยลงตัวและมีฟังก์ชั่นลูกเล่นเยอะโดยเฉพาะมาตรวัดคนขับขนาด 7 นิ้ว ที่ในพื้นฐานจาก MG4 แต่ปรับรายละเอียดการแสดงผลให้เหมาะกับรถยนต์ไฮบริดด้วยการเพิ่มหน้าแสดงการไหลเวียนระบบไฮบริด เป็นต้น ส่วนจอกลางสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ก็ใช้ร่วมกับ MG4 พร้อมปรับการแสดงผลให้เหมาะสมเช่นกัน
โดยเมนูต่าง ๆ แทบจะเหมือนกับรุ่น MG4 มีรายละเอียดแตกต่างในบางอย่างเช่น ระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ซึ่งบนจอมีฟังก์ชั่นตั้งค่าต่าง ๆ มากมายหลัก ๆ คือ การตั้งค่าระบบช่วยเหลือการขับขี่ ส่วนด้านล่างขอบจอกลางนั้นก็มี "ปุ่มลัด" ไว้ให้ใช้งานที่ง่ายและสะดวก รวมถึงสามารถตั้งหน้าเมนูที่ใช้งานประจำได้บนปุ่มรูป "ดาว" บนพวงมาลัยอีกด้วย
เบาะนั่งคนขับปรับมือ 4 ทิศทางพร้อมสูง-ต่ำได้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นปรับไปเพียง 2 ทิศทางเท่านั้น แต่ก็ยังพอขับได้ด้วยท่าทางและระยะของตัวเบาะ พวงมาลัย และแป้นเหยียบที่ปรับให้พอดีได้ไม่ยากนัก ตัวที่นั่งของเบาะมีความเล็กและแคบไปหน่อยสำหรับผู้ทดสอบ แต่เนื้อสัมผัสนุ่มดีและพอจะมีปีกของเบาะพิงให้ล็อคตัวคนขับในเวลาเข้าโค้งดหด ๆ ได้บ้าง ห้องโดยสารตอนหลังไม่แคบอย่างที่คิด จากที่ลองทดสอบนั่งเองและให้ คุณแพนแห่ง DayDreamDrive ให้เกียรติมาลองนั่งถือว่านั่งได้ แม้จะดูอึดอัดไปบ้าง แต่ว่าพื้นที่ใช้จริง ๆ นั้นมีความใกล้เคียงกับใน City Hatchback, Yaris Hatchback อาจเล็กกว่าในแนวยาวแต่ด้านความกว้างพอ ๆ กัน และมีความกว้างกว่า Swift และ Mazda2 อยู่พอสมควรเลยครับ
ส่วนใต้ช่องแอร์กลางนั้นมีที่วางและเป็นแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พร้อมช่องจ่ายไฟ USB-A และ C ที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ถัดมาเป็นชุดสวิตช์หมุนเปลี่ยนเกียร์ที่ดูพรีเมียมทันที พร้อมที่วางแขน และมี USB-A ที่ด้านหลังเท้าแขนสำหรับผู้โดยสารหลัง 2 ตำแหน่ง เบาะพับ 60 : 40 ได้แต่ไม่แบนราบ พร้อมแอร์หลังอีกด้วย นับว่าให้ออปชั่นมาคุ้มค่ามาก ซึ่งเจ้าแอร์หลังนี้เป็นผลพลอยได้จากการใช้ลมเย็นเพื่อระบายความแบตฯ ที่อยู่ใต้เบาะนั่งตอนหลังนั้นเองครับ
สมรรถนะ แรงและประหยัด 1 ถังเชียงใหม่-กทม. สบาย ๆ
สมรรถนะของ MG3 Hybrid+ จัดจ้านตั้งแต่แตะคันเร่ง การเร่งออกตัวพุ่งและตอบสนองได้ดี นับว่าใกล้เคียงหรือตรงปกกับตัวเลข 0-100 กม./ชม. ที่เคลมไว้ 8 วินาที โดยมีสื่อหลายท่านทดสอบจับเวลาได้ราว ๆ 7.8 - 8 วินาทีเท่านัน อัตราเร่งระดับนี้นับว่า "ว้าวมาก" และแรงกว่าในรถระดับเดียวกันอย่างชัดเจนครับ
ในความเร็วสูง ๆ นั้น พลังของระบบไฮบริดไม่มีแผ่วยังสามารถไต่ความเร็ซขึ้นไปแบบน่าทึ่งจริง ๆ จาก 80 - 120+ กม./ชม. ใช้เวลาไม่นานจากที่เคยทดสอบรถยนต์ในคลาสนี้และสูงกว่านี้ กล้าบอกเลยครับว่า MG3 คันนี้ เร่งได้ดีกว่ารถไฮบริดเซกเมนต์ใหญ่ ๆ บางรุ่นเลยทีเดียว
ตามสั่งตราบใดที่ "ระดับแบตฯ ยังเหลือ"
สมรรถนะของ MG3 Hybrid+ นั้น หลัก ๆ มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าถ้ามีระดับแบตฯ เหลือไม่ต่ำกว่า 2 - 3 ขีด พลังในการเร่งแวงจะมีให้แบบเต็มที่ แต่เมื่อไหร่ที่ระดับแบตฯ ลดลงเหลือ 1 ขีด ระบบจะคงไว้เพียงพลังเครื่องยนต์เพียว ๆ ทำให้ "เหี่ยว" อย่างชัดเจนเลยครับ เรียกว่า ถ้าจะขับแบบลองอัตราเร่งบ่อย ๆ นั้น ให้เว้นช่วงที่เครื่องยนต์หรือระบบไฮบริดปั่นไฟกลับแบตฯ คงเหลือเผื่อเอาไว้ในระดับที่พร้อมเร่งได้ตลอดเวลา แต่ถ้าขับขี่ปกติทั่วไปนั้น แบตฯ จะอยู่ในระดับกลาง ๆ เสมอ
การควบคุมพวงมาลัยน้ำหนักดีไม่หนักและเบาเกินไป ปรับตั้งได้แม่นยำและให้ความมั่นใจไม่แพ้ระดับ C-Segment บางรุ่นด้วยซ้ำไปครับ ระบบช่วงล่างแน่น ๆ หนึบ ๆ ออกไปทางกระเด้งในความเร็วระดับกลาง ๆ ที่ความเร็วต่ำยังพอมีระยะยุบให้นุ่มนวลบ้างไม่จุกเวลาตกหลุมบ่อแรง ๆ นับว่าความเร็ซต่ำก็สบายความเร็วสูง ๆ ก็ให้ความมั่นใจได้ดีกว่ารถในระดับเดียวกับหลายรุ่นเลยครับ ฟันธงเลยว่าหากเทียบกับรถในคลาสเดียวกันหรือกลุ่มราคาใกล้เคียงแล้ว MG3 คันนี้ ให้ความแรงและช่วงล่างที่มั่นใจกว่ารถยนต์หลายรุ่น
มีอาการ "เชนเกียร์" ในบางครั้ง
อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนของ MG3 Hybrid+ ก็ยังมีอาการแปลก ๆ ให้งง ๆ เล็กน้อย นั่นคือ การขับขี่ในช่วงความเร็วยืนพื้น 98 - 99 กม./ชม. และถ้าต้องเร่งแซงหรือต้องการกำลังในการขึ้นทางชัน จะมีอาการ "หวืด" เหมือนการเปลี่ยนเกียร์ในรถยนต์เกียร์ธรรมดา แต่ใช้เวลาสั้น ๆ รถจึงจะเร่งขึ้นไปตามเท้า จากการวิเคราะห์แล้วคาดว่าเกิดจากการที่มีระบบเกียร์ 3 อัตรทด ซึ่งในบางช่วงความเร็วขับขี่นั้น ขับความเร็วคงที่ระบบเข้าใจว่าไม่ต้องใช้กำลังมากนักจึงปรับอัตราทดให้สูงเพื่อรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลงช่วยประหยัดน้ำมัน แต่ก็เป้นจังหวะที่กำลังก็อยู่ในย่านต่ำเช่นกัน เมื่อมีการเติมคันเร่งระบบจึงคำนวนใหม่หาความเร็วรถ ความเร็รอบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ให้พอดีกับช่วงขณะนั้น ทำให้มีอาการเหมือน "เชนเกียร์" นั้นเอง สำหรับอาการนี้หากขับในความเร็วคงที่เรื่อย ๆ ไม่เติมคันเร่งลึกมาก ๆ ก็จะแทบไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนอัตราทดนี้เลย
ระบบความปลอดภัย ADAS เกือบครบขาดไม่กี่อย่าง
ระบบความปลอดภัย ADAS ใน MG3 คันนี้ จากที่ได้เปิดใช้งานจริง ระบบควบคุมความเร็ซแปรผันใช้งานได้เนียนและสมูท แต่เว้นระยะห่างจากคันหน้ามากเกินไปแม้จะตั้งให้ใกล้สุดแล้วก็ตาม ทำให้ช่องว่างด้านหน้าที่เว้นเอาไว้พอสำหรับรถ 1 คัน สบาย ๆ ทำให้เมื่อใช้งานจริงมักจะมีรถเข้ามาแทรกเข้าด้านหน้าเสมอ
ส่วนระบบเตือนและควบคุมรถในอยู่ในเลนก็ทำงานได้ดี จับเส้นถนนได้ไว้ แต่ก้มีบ้างที่แอบ "หลุด" หรือทำงานได้ไม่เต็มที่มีเตือนและไม่เตือนบ้างในบางจังหวะหรือเจอถนนที่มีเส้นแบ่งเลนที่ไม่ชัดเจน ส่วนระบบเตือนเบรกก่อนการชนด้านหน้าที่ทำงานได้ดี และยังสามารถตั้งค่าการเตือนได้ 3 ระดับ เพื่อความสะดวกสบายและคุ้นเคย และกล้องรอบคันทีชัดพอประมาณ แต่ขอบ ๆ ของภาพยังมีแตก ๆ และการเคลื่อนไหวยังมีสะดุดบ้าง นอกจากนี้เมื่อเปิดไฟเลี้ยวยังมีภาพแสดงบนจอกลางอีกด้วย
อัตราสิ้นเปลือง 20+ กม./ลิตร ง่าย ๆ
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองนั้นทำดีดีเกินคาดเนื่องจากรุ่นพี่อย่าง MG VS HEV ที่มีแต่ความแรง กลับทำอัตราสิ้นเปลืองแบบน่าผิดหวังมาก่อน แต่ใน MG3 Hybrid+ กลับแก้เกมส์ได้ดี สามารถพัฒนาและทำให้ได้ตัวเลขประหยัดแบบ "น่าตกใจ" ทั้งที่ก่อนได้ขับนั้นไม่คาดหวังด้วยซ้ำไป!
จากการขับลงจากเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ด้วยระยะทางราว ๆ 690 กม. สลับกันขับ 2 คนต่อ 1 คัน โดยน้ำมันเต็มถังนั้น ใช้ความเร็วปกติทั่วไปไม่ย่องไม่คลาน มีช่วงแรงแซง ออกตัวแรง ๆ ในบางจังหวะที่ปลอดภัย แต่ก้ขับด้วยความเร็วไม่เกินกำหนด ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองบนมาตรวัดสูงสุดได้ 21.7 กม./ลิตร
แต่เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ในจุดที่เติมน้ำมันกลับคืนถังนั้น ตัวเลขบนมาตรวัดเฉลี่ยลดลงมาเล็กน้อยที่ 20 กม./ลิตร ซึ่งจากการขับขี่ด้วยระยะทางทั้งหมด 690 กม. ไฟเตือนน้ำมันเริ่มติดขึ้น ระยะทางคงเหลือในถังวิ่งได้อีก 72 กม. เมื่อทางทีมงาน MG เติมกลับเต็มถังจนตัดได้ 31.54 ลิตร ราคา 1,227 บาท เมื่อคำนวนแล้วได้อัตราสิ้นเปลืองตลอดทริปอยู่ที่ 21.9กม./ลิตร นับว่าประหยัดจนน่าพอใจกับการให้สมรรถนะแรงเร้าใจระดับนี้เลยครับ
สรุปความคุ้มค่า
ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์สำหรับผู้เริ่มสร้างตัว First Jober หรือผู้ต้องการความประหยัดทั้งราคา การบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ใช้ในชีวิตประจำวันได้ทั้งครอบครัว ต้องบอกว่าขับดีกว่ารถระดับเดียวกับเจ้าตลาดและยังเป็นรุ่นเดียวในตอนนี้ที่ให้ความแรงจัดประหยัดตัวจริงแม้ว่าจะขับซิ่งก็ยังประหยัดน่าพอใจ นอกจากนี้ยังได้ความปลอดภัยและฟังก์ชั่นความสะดวกสบายครบครันเกินตัวอีกด้วย ......รอลุ้นราคาและรุ่นย่อยที่คาดว่าจะมีให้เลือก 2 รุ่น นั่นคือ D และ X พร้อมราคาคาดการณ์เริ่มต้นที่ 6XX,XXX บาท (เปิดราคาช่วงสิงหาคม 2024)